(ภาพประกอบจาก maoinvestor.com ขอบคุณครับ)
เลิก(เป็น)เม่าเสียที
เคยสงสัยกันไหมครับ ว่านักลงทุนมืออาชีพ
เทรดเดอร์รายใหญ่ที่ประสบความสำเร็จมีชื่อเสียง มีพอร์ตการลงทุนขนาดใหญ่
มีรายได้จากการลงทุนเดือนเป็นแสนเป็นล้าน ออกสื่อต่างๆให้โด่งดัง
ว่าวิธีการลงทุนของเขาแตกต่าง กับพวกเราๆที่เป็นรายย่อยอย่างไร
และที่สำคัญเราจะใช้แนวทาง
การลงทุนของเขาได้หรือไม่
เพราะขนาดของพอร์ตที่อาจจะแตกต่างกันถึงร้อยเท่าพันเท่ากันเลยทีเดียว
เราลองมาตั้งคำถามและคำตอบกันดูครับ
1. ระบบการลงทุนของมืออาชีพรายใหญ่
(ไม่เกี่ยวกับรายใหญ่ประเภทหากินโดยปั่นหุ้นสร้างข่าวนะครับ)
แตกต่างจากที่พวกเรารายย่อยหรือบรรดาแมงเม่าใช้หรือไม่?
คำตอบก็คือโดยส่วนใหญ่ 90%
นั้นใช้แบบเราๆท่านๆใช้นั่นแหล่ะครับ ตำราเดียวกัน Fibonacci, moving
average, indicators พื้นฐานต่างๆ
หรือถ้าพวกนักลงทุนเน้นคุณค่าหรือวีไอ
ก็ใช้วิธีในตำราแบบเดียวกับที่วางขายในตลาดทั่วๆไปนั่นแหล่ะครับ ส่วน อีก 10%
ก็มีบ้างที่มีพื้นฐานเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักคณิตศาสตร์ หรือ วิศวกร
ที่ใช้สมการคณิตศาสตร์อันซับซ้อนในการลงทุน
2. พวกมืออาชีพเขาซื้อขายหรือเทรดบ่อยกันแค่ไหน
และดูกราฟช่วงไหน?
โดยส่วนใหญ่พวกมืออาชีพจริงๆไม่ซื้อขายบ่อยๆหรอกครับ
การ over trade ถือเป็นข้อห้ามของมืออาชีพเลยทีเดียว
อีกทั้งพวกนี้เขาจะมีหลักประจำใจเสมอว่า “การไม่เสียเงินหรือไม่ขาดทุนคือการทำเงินที่ดีและง่ายที่สุด”
หรือ “ความอยู่รอด(ของเงินทุน)ในตลาดสำคัญกว่าการทำกำไร”
ดังนั้นพวกเขาจะเทรดก็ต่อเมื่อมีโอกาสหรือความน่าจะเป็นที่สูงจริงๆ
และที่สำคัญต้องได้ผลตอบแทนเป็นกอบเป็นกำหรือที่เรียกว่า เสี่ยงน้อยได้มาก หรือ Low
Risk High Return ซึ่งจะเกิดขึ้นในขณะที่มี Big Move ครับ
ผิดกับบรรดาแมงเม่ารายย่อยทั้งหลายที่เทรดกันแทบทุกวันหรือวันเว้นวัน
ด้วยความคิดที่ผิดๆว่าฉันจะเอาเงินจากตลาดให้ได้ทุกๆวัน
หรือให้ได้ทุกการขึ้นลงของตลาด ซึ่งเอาจริงๆแล้ว ก็กลายเป็นวันนี้ได้พรุ่งนี้เสีย
รวมกันไปมาก็เข้าเนื้อกันเสียเปล่าๆ ดังนั้นกราฟที่พวกมืออาชีพดูโดยส่วนใหญ่ก็คือกราฟรายเดือน
รายสัปดาห์ รายวัน ในขณะที่อาจมีบ้างที่ดูกราฟรายชั่วโมงเข้าประกอบบ้าง
ด้วยเหตุนี้พวกมืออาชีพจะลงทุน เดือนนึงอาจจะแค่ ไม่กี่ครั้ง
และอาจจะต้องถือยาวเป็น 2-3 สัปดาห์หรือหลายเดือนเลยก็มี
ยิ่งถ้าเป็นพวกวีไอ ก็อาจจะมีถือยาวเป็นปีๆ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
3. มืออาชีพขาดทุนหรือพลาดบ้างไหม?
ตอบง่ายๆเลยครับว่ามีแน่นอน
ไม่มีใครลงทุนแล้วจะไม่ขาดทุนไปตลอดกาล ขนาด วอร์เรน บัฟเฟต์ ยังหนีไม่พ้นเลยครับ
หายากครับที่ใครจะรู้ล่วงหน้าถึงทิศทางตลาดได้ 100%
เพียงแต่พวกมืออาชีพเหล่านี้เขามีวิธีการบริหารความเสี่ยงและการบริหารเงินที่มีประสิทธิภาพและมีวินัย
มืออาชีพหรือกองทุนเฮดฟันด์ใหญ่ๆ ลงทุนหรือเทรด 10
ครั้ง อาจจะได้กำไรเพียงแค่ 3-4 ครั้งเท่านั้น
ในขณะที่ที่เหลือก็คือขาดทุน แต่จำนวนที่ขาดทุนเขาจะน้อยเพราะการบริหารเงินที่ดี
ในขณะที่เวลาทำกำไร พวกเขาก็จะได้กัน 4-20 เท่า หรือแม้แต่
ร้อยเท่าของจำนวนเงินที่ขาดทุนในแต่ละครั้ง เพราะมืออาชีพลงทุนแต่ Big Move
เท่านั้นครับ
ด้วยเหตุนี้กำไรของพวกเขาจึงมากกว่าที่เสียหายจากการขาดทุนเยอะมาก
4. พวกมืออาชีพวันๆเขาทำอะไรกันบ้าง? ในเมื่อนานๆทีถึงจะลงมือซื้อขาย
พวกนี้โดยส่วนใหญ่เป็นเสือซุ่มครับ
วันๆเราจะเห็นเขา ซุ่มศึกษา ดูกราฟ เก็บข้อมูล และหา Big Move ที่จะเกิดขึ้นในแต่ละตลาด
หรือหุ้นแต่ละตัว แม้จะเก็บข้อมูลและอ่านข่าวแต่มืออาชีพ ก็จะไม่เล่นตามข่าวนะครับ
เขาจะรอด้วยความใจเย็น รอจนกว่าจะเข้าเงื่อนไขของระบบที่เขาตั้งเอาไว้
ถึงจะลงมือซื้อ และขายไปตามระบบ เพราะเกมส์การลงทุนเป็นเรื่องของความน่าจะเป็น
การบริหารความเสี่ยง และการบริหารเงิน
ไม่ใช่เรื่องของการพนันที่ตัดสินใจอย่างรวดเร็วตามสัญชาติญาณนะครับ นอกจากนี้ที่ขาดไม่ได้นั่นก็คือการฝึกซ้อมครับ
เหมือนกับนักกีฬา นักบิน หมอ หรือมืออาชีพอื่นๆ
ที่ต้องหมั่นทบทวนและฝึกปรือวิชาชีพของตนให้แตกฉานและชำนาญ บางคนในแต่ละวัน
ฝึกตีกราฟเป็นสิบๆหรือร้อยๆแผ่นโดยการศึกษาพฤติกรรมของตลาดหรือหุ้นที่ลงทุนจากอดีต
หรือบางคนก็ฝึกหัดแกะงบการเงินและศึกษาเพิ่มเติม
หรือเยี่ยมชมกิจการที่ตนเองเล็งเอาไว้ จะ
เห็นได้เลยว่าพวกมืออาชีพนั้นไม่ได้อยู่เฉยๆแล้วจะเป็นอัจฉริยะมองกราฟขาดหรอกครับ
เป็นอย่างไรครับ คำตอบจากคำถามทั้ง 4
ข้อ ได้เห็นความแตกต่างระหว่างแมงเม่ากับมืออาชีพหรือยังครับ
การลงทุนนั้นไม่ใช่เรื่องเล่นๆ หรือเป็นเรื่องของอัจฉริยะดวงเฮงหรอกครับ
ผมเชื่อว่าทุกคนสามารถทำได้ขอเพียงเข้าใจ และมีความตั้งใจจริง
ไม่ว่าจะมีพอร์ตหลักหมื่นหรือหลักพันล้าน 4
ข้อข้างต้นล้วนแต่เป็นจุดสำคัญของอาชีพนักลงทุน
ซึ่งทำได้จริงๆและเป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ยาก
คุณเองก็เป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จได้ครับ เพราะโอกาสทำเงิน พร้อมจะเกิดได้ทุกเมื่อ
ขอเพียงรอด้วยความอดทน ค้นหาโอกาสด้วยความรู้ความเข้าใจที่แตกฉานด้วยการฝึกฝน
มีระเบียบวินัยต่อการลงทุน และที่สำคัญซื่อสัตย์ไม่หลอกหรือหลงตัวเอง
คุณก็คือมืออาชีพแล้วครับ